ต้อกระจกคืออะไร? รู้จักโรคตาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ
โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ (Cataract) คือ ภาวะที่เลนส์ตาของเราซึ่งปกติควรใส กลับเกิดความขุ่นมัวขึ้น ทำให้แสงผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้การมองเห็นของเราพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน โดยจากการรายงานของ โรงพยาบาลสมิติเวช พบว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังอายุ 50 ปีขึ้นไป เลนส์ตาจะเริ่มเสื่อมสภาพ โปรตีนในเลนส์ตาอาจจับตัวกันเป็นก้อน ทำให้เลนส์ตาขุ่นมัวและเกิดต้อกระจก
และยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจก เช่น
- โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคอ้วน
- การสัมผัสแสงแดดมากเกินไป การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
- การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ พฤติกรรมเหล่านี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้
- โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)
- โรคหัวใจ (Heart Disease)
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis)
- โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
- โรคต้อกระจก (Cataract)
- โรคต้อหิน (Glaucoma)
- โรคสมองเสื่อม (Dementia)
- โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ (Depression in the Elderly)
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease)
- โรคมะเร็ง (Cancer)
สัญญาณเตือนต้อกระจก รู้ทันอาการ เพื่อสุขภาพสายตาที่ดี
โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ (Cataract) เป็นภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว ส่งผลให้การมองเห็นลดลง การรู้จักสัญญาณเตือนและอาการของโรคนี้จะช่วยให้เราดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น มาดูกันว่าอาการที่ควรสังเกตมีอะไรบ้าง
ตามัวเหมือนมีหมอกบัง รู้สึกว่าการมองเห็นไม่ชัดเจน คล้ายมีฝ้าหรือหมอกบดบังสายตา
เห็นภาพซ้อน มองเห็นภาพซ้อนหรือภาพเบลอ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง
สู้แสงไม่ได้ รู้สึกแสบตาหรือพร่ามัวเมื่ออยู่ในที่สว่าง หรือมีแสงจ้า
การมองเห็นสีเปลี่ยนไป สีสันของสิ่งรอบข้างดูจืดจางหรือเหลืองลง
ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยขึ้น ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ต้องปรับหรือเปลี่ยนแว่นใหม่อยู่เสมอ
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีไว้ได้
รู้จักสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของ โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ
อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น โปรตีนในเลนส์ตาอาจเสื่อมสภาพ ทำให้เลนส์ขุ่นมัว
โรคประจำตัว โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้
การสัมผัสแสงแดดโดยไม่มีการป้องกัน รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดสามารถทำลายโปรตีนในเลนส์ตาได้
การใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน การใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้
การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป พฤติกรรมเหล่านี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้เช่นกัน
การทราบสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้เราป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น หากมีข้อสงสัยหรือสังเกตเห็นอาการผิดปกติ ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม
วิธีรักษาต้อกระจก คืนความชัดเจนให้ดวงตาด้วยเทคโนโลยีทันสมัย
การรักษาด้วยยา (เฉพาะในระยะเริ่มต้น)
ในระยะเริ่มแรกของ โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ (Cataract) การปรับเปลี่ยนแว่นสายตาหรือการใช้ยาหยอดตาอาจช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันว่ายาหยอดตาสามารถหยุดหรือชะลอการพัฒนาของต้อกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การผ่าตัดต้อกระจก (วิธีที่ได้ผลดีที่สุด)
เมื่ออาการต้อกระจกเริ่มรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน การผ่าตัดเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุด การผ่าตัดต้อกระจกมีหลายวิธี เช่น
การผ่าตัดสลายต้อด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Phacoemulsification) เป็นวิธีที่นิยมใช้ในปัจจุบัน โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสลายเลนส์ตาที่ขุ่นและดูดออก จากนั้นใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทนที่ แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และไม่จำเป็นต้องเย็บแผล
การผ่าตัดแบบเปิดแผลกว้าง (Extracapsular Cataract Extraction) ใช้ในกรณีที่ต้อกระจกสุกและแข็งมาก โดยนำเลนส์ตาที่ขุ่นออกทั้งชิ้นและใส่เลนส์เทียมเข้าไป วิธีนี้แผลผ่าตัดจะใหญ่กว่าและอาจต้องใช้เวลาพักฟื้นนานขึ้น
การเปลี่ยนเลนส์ตาเทียม
หลังจากนำเลนส์ตาที่ขุ่นออก แพทย์จะใส่เลนส์ตาเทียม (Intraocular Lens – IOL) เพื่อทดแทนเลนส์เดิม เลนส์ตาเทียมมีหลายประเภท เช่น
เลนส์โฟกัสระยะเดียว (Monofocal IOL) เหมาะสำหรับการมองเห็นระยะไกล แต่ยังคงต้องใช้แว่นสำหรับการอ่านหนังสือหรือมองใกล้
เลนส์โฟกัสหลายระยะ (Multifocal IOL) ช่วยให้มองเห็นได้ทั้งระยะไกล กลาง และใกล้ ลดความจำเป็นในการใช้แว่นตาหลังผ่าตัด
เลนส์แก้ไขสายตาเอียง (Toric IOL) เหมาะสำหรับผู้ที่มีสายตาเอียง ช่วยปรับการมองเห็นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การเลือกวิธีการรักษาและประเภทของเลนส์ตาเทียมควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพดวงตาของแต่ละบุคคล ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน การรักษาต้อกระจกสามารถทำได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ช่วยคืนความชัดเจนและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้ป่วย
วิธีป้องกันโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ ดูแลดวงตาให้สดใส ที่คุณทำได้
สวมแว่นกันแดดป้องกันรังสี UV การสวมแว่นกันแดดที่มีคุณภาพดีสามารถช่วยปกป้องดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดต้อกระจก ควรเลือกแว่นที่สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้ 99-100% เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ การตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราทราบถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและรับการรักษาได้ทันท่วงที โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง
ควบคุมโรคประจำตัว การควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้ การรักษาระดับน้ำตาลให้เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงนี้
การดูแลสุขภาพดวงตาเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยการปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าว เราสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกและรักษาการมองเห็นที่ชัดเจนไว้ได้ยาวนาน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. ผ่าตัดต้อกระจกหายขาดไหม?
การผ่าตัดต้อกระจก เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการรักษาโรคนี้ โดยแพทย์จะนำเลนส์ตาที่ขุ่นออกและใส่ เลนส์ตาเทียม เข้าไปแทนที่ ซึ่งสามารถช่วยให้มองเห็นได้ชัดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจเกิดภาวะ “ต้อกระจกเทียม” หรือขุ่นที่ถุงหุ้มเลนส์หลังผ่าตัด ซึ่งสามารถรักษาได้ง่าย ๆ ด้วยเลเซอร์ YAG Laser Capsulotomy โดยไม่ต้องผ่าตัดซ้ำ
2. หลังผ่าตัดต้อกระจกต้องดูแลอย่างไร?
หลังการ ผ่าตัดต้อกระจก การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ดวงตาฟื้นตัวเร็วที่สุด
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หรือกดทับบริเวณที่ผ่าตัด
- สวมแว่นกันแดด ป้องกันรังสี UV และฝุ่นละออง
- ใช้ยาหยอดตาตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดอาการอักเสบ
- งดกิจกรรมหนัก ๆ เช่น ยกของหนัก ว่ายน้ำ หรือออกกำลังกายหักโหมในช่วงแรก
- พบแพทย์ตามนัด เพื่อให้มั่นใจว่าดวงตาฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์
3. ใช้เวลาพักฟื้นกี่วัน?
โดยทั่วไป หลังการ ผ่าตัดต้อกระจก ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน และใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์ สำหรับการมองเห็นที่ดีขึ้น แต่การฟื้นตัวเต็มที่อาจใช้เวลา 4-6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละคน และหากไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างรวดเร็ว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ได้ที่ NeedNurseGroup โทร. 081-924-2635 / 082-791-6559 หรือ LINE. @NeedNurse