ทำความเข้าใจและวิธีป้องกัน โรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นภาวะที่กระดูกมีความหนาแน่นและมวลลดลง ทำให้กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณข้อมือ สะโพก และกระดูกสันหลัง โรคนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการสร้างกระดูกใหม่จะช้าลง ขณะที่การสลายกระดูกเก่ายังคงดำเนินอยู่ ส่งผลให้มวลกระดูกลดลง
ปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
– อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น การสร้างมวลกระดูกใหม่จะลดลง ทำให้กระดูกบางและเปราะขึ้น
– การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้การสลายกระดูกเพิ่มขึ้น ส่วนในผู้ชาย การลดลงของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนก็มีผลเช่นกัน
– ปัจจัยทางพันธุกรรม หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน ความเสี่ยงของการเกิดโรคจะเพิ่มขึ้น
วิธีการป้องกันโรคกระดูกพรุนเบื้องต้น
– ลดความเสี่ยงของกระดูกหัก กระดูกหักในผู้สูงอายุอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น การเคลื่อนไหวที่จำกัด หรือภาวะทุพพลภาพ
– รักษาคุณภาพชีวิต กระดูกที่แข็งแรงช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างอิสระและปลอดภัย
– ลดภาระทางการแพทย์ การป้องกันโรคกระดูกพรุนช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาและการดูแลระยะยาว
การดูแลสุขภาพกระดูกตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
- โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)
- โรคหัวใจ (Heart Disease)
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis)
- โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
- โรคต้อกระจก (Cataract)
- โรคต้อหิน (Glaucoma)
- โรคสมองเสื่อม (Dementia)
- โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ (Depression in the Elderly)
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease)
- โรคมะเร็ง (Cancer)
สารบัญเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นภาวะที่ความหนาแน่นและมวลของกระดูกลดลง ทำให้กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
1. อายุที่เพิ่มขึ้นและการสูญเสียมวลกระดูก
เมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการสร้างกระดูกใหม่จะช้าลง ขณะที่การสลายกระดูกยังคงดำเนินอยู่ ส่งผลให้มวลกระดูกลดลงและความแข็งแรงของกระดูกลดลง
2. การขาดวิตามิน D และแคลเซียม
แคลเซียมและวิตามิน D เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างและรักษาความแข็งแรงของกระดูก การได้รับแคลเซียมและวิตามิน D ไม่เพียงพออาจทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
3. ฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษามวลกระดูก การลดลงของฮอร์โมนนี้ทำให้การสลายกระดูกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
4. พฤติกรรมการใช้ชีวิต
การสูบบุหรี่ สารพิษในบุหรี่สามารถรบกวนกระบวนการสร้างกระดูกและลดการดูดซึมแคลเซียม ทำให้กระดูกอ่อนแอและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
การดื่มแอลกอฮอล์ การบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไปสามารถลดความสามารถของร่างกายในการสร้างกระดูกใหม่และลดการดูดซึมแคลเซียม
การไม่ออกกำลังกาย การขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสมทำให้กระดูกไม่ได้รับแรงกระตุ้น ส่งผลให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
อาการและภาวะแทรกซ้อนของโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) มักถูกเรียกว่า “ภัยเงียบ” เนื่องจากในระยะแรกมักไม่มีอาการชัดเจน จนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกหัก อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน ได้แก่
กระดูกเปราะหักง่าย กระดูกที่มีความหนาแน่นลดลงจะเปราะบางและหักได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณสะโพก ข้อมือ และกระดูกสันหลัง การหกล้มเล็กน้อยหรือการกระแทกเบา ๆ ก็อาจทำให้กระดูกหักได้
อาการปวดหลังเรื้อรัง การยุบตัวหรือการหักของกระดูกสันหลังอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
ส่วนสูงลดลงและหลังโก่งงอ การยุบตัวของกระดูกสันหลังหลายข้ออาจทำให้ความสูงลดลงและเกิดภาวะหลังโก่งงอหรือหลังค่อม ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคกระดูกพรุน
ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงที่สุดของโรคกระดูกพรุนคือการเกิดกระดูกหัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สะโพกและกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจนำไปสู่ความพิการถาวรและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตภายในหลายปีหลังจากได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ การหักของกระดูกสันหลังอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังและความสูงลดลง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
การป้องกันและการจัดการ
การป้องกันโรคกระดูกพรุนสามารถทำได้โดยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีเพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกเป็นประจำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง หากพบว่ามีภาวะกระดูกพรุน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาและคำแนะนำที่เหมาะสม
วิธีป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นภาวะที่กระดูกมีความหนาแน่นลดลง ทำให้เปราะบางและเสี่ยงต่อการหักได้ง่าย การป้องกันและรักษาโรคนี้สามารถทำได้ผ่านวิธีการดังนี้
1. การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก แหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูง
นมและผลิตภัณฑ์จากนม นม โยเกิร์ต และชีส เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี
ผักใบเขียว ผักคะน้า บรอกโคลี และผักโขม มีปริมาณแคลเซียมสูง
ถั่วและเมล็ดธัญพืช อัลมอนด์ งาดำ และเต้าหู้แข็ง เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี
2. การได้รับวิตามิน D จากแสงแดดหรืออาหารเสริม
วิตามิน D ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย แหล่งที่มาของวิตามิน D ได้แก่
แสงแดด การสัมผัสแสงแดดอ่อนในช่วงเช้าหรือเย็นประมาณ 10-15 นาทีต่อวัน ช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามิน D ได้
อาหารเสริม หากได้รับวิตามิน D ไม่เพียงพอจากแสงแดดหรืออาหาร ควรพิจารณาเสริมด้วยวิตามิน D ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
การได้รับวิตามิน D เพียงพอช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
3. การออกกำลังกายที่เหมาะสม
การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ กิจกรรมที่แนะนำ ได้แก่
การเดิน เดินเร็วประมาณ 30-40 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก
โยคะ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความสมดุล ลดความเสี่ยงการหกล้ม
การออกกำลังกายที่มีแรงต้าน เช่น การยกน้ำหนัก ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกและลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
4. การใช้ยาป้องกันการสลายของมวลกระดูก
ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำการใช้ยาที่ช่วยลดการสลายของกระดูกหรือเสริมสร้างมวลกระดูก ยาที่ใช้ในการรักษาโรคกระดูกพรุนมีหลายกลุ่ม ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในแต่ละราย ได้แก่
ยาฮอร์โมนเพศหญิง เหมาะสำหรับผู้หญิงวัยเริ่มหมดประจำเดือน มีทั้งชนิดรับประทาน ชนิดทา หรือชนิดติดผิวหนัง โดยที่ฮอร์โมนจะช่วยในเรื่องของการลดการสลายของมวลกระดูก
ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต มีทั้งชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำและชนิดรับประทาน อาจจะเป็นชนิดทานทุกวัน ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือนก็ได้ โดยจะมีผลต่อกระดูกสะโพก และกระดูกสันหลัง
การใช้ยาต่าง ๆ ต้องให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งถ้าใช้ถูกต้องก็จะมีผลดีต่อการสร้างเสริมมวลกระดูก และลดอุบัติการณ์ของกระดูกหักได้ ทั้งนี้การป้องกันก่อนการเกิดโรคยังเป็นหัวใจสำคัญสำหรับโรคกระดูกพรุน
การตรวจวัดด้วยเครื่องวัดมวลกระดูก (DEXA Scan)
การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก (Bone Mineral Density: BMD) เป็นวิธีสำคัญในการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน เครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือเครื่อง DEXA Scan (Dual-Energy X-ray Absorptiometry) ซึ่งใช้รังสีเอกซ์พลังงานต่ำสองระดับในการวัดความหนาแน่นของกระดูก บริเวณที่มักตรวจคือกระดูกสันหลังส่วนล่างและสะโพก เนื่องจากเป็นบริเวณที่พบการแตกหักจากภาวะกระดูกพรุนได้บ่อย การตรวจด้วย DEXA Scan มีความปลอดภัยสูงและใช้เวลาสั้น ทำให้เป็นวิธีมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำในการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน
การใช้ยารักษาโรคกระดูกพรุน
การรักษาโรคกระดูกพรุนด้วยยามีหลายประเภท โดยยาที่ใช้บ่อย ได้แก่
ยาในกลุ่มบิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonates) ยากลุ่มนี้ช่วยชะลอหรือป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก และเสริมสร้างสุขภาพกระดูกให้ดียิ่งขึ้น ยาที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น อเลนโดรเนต (Alendronate) และไอบันโดรเนต (Ibandronate)
แคลซิโทนิน (Calcitonin) เป็นฮอร์โมนที่ช่วยยับยั้งการสลายตัวของกระดูก และลดปริมาณแคลเซียมในเลือด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการใช้แคลซิโทนินในการรักษาโรคกระดูกพรุนลดลง เนื่องจากมียาในกลุ่มบิสฟอสโฟเนตที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
คำแนะนำการป้องกันการลื่นล้มในผู้สูงอายุ
ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในบ้าน จัดพื้นที่ให้มีแสงสว่างเพียงพอ เก็บของให้เป็นระเบียบ และติดตั้งราวจับในห้องน้ำหรือบริเวณที่มีความเสี่ยง
สวมรองเท้าที่เหมาะสม เลือกรองเท้าที่มีพื้นกันลื่นและรองรับเท้าได้ดี
ออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงและการทรงตัว การออกกำลังกายที่เหมาะสมช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการทรงตัว ลดความเสี่ยงการลื่นล้ม
ตรวจสายตาและการได้ยินเป็นประจำ การมองเห็นและการได้ยินที่ดีช่วยในการรับรู้สิ่งแวดล้อมและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
คำแนะนำสำหรับผู้ดูแลผู้สูงอายุจาก Need Nruse Group
1. การช่วยปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย
การปรับสภาพแวดล้อมภายในบ้านเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในห้องน้ำ
ติดตั้งราวจับในห้องน้ำ บริเวณรอบๆ โถส้วมและที่อาบน้ำควรมีราวจับที่แข็งแรง เพื่อช่วยในการลุกนั่ง ราวจับควรมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.5 ซม. สูงจากพื้น 80 ซม. และห่างจากผนัง 5 ซม.
พื้นห้องน้ำกันลื่น ควรใช้วัสดุปูพื้นที่มีลักษณะหยาบหรือขรุขระเล็กน้อย เพื่อป้องกันการลื่นล้ม และควรระบายน้ำได้ดีไม่มีน้ำขังขณะอาบน้ำ
2. อาหารที่เหมาะสมและโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ
โภชนาการที่เหมาะสมมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพของผู้สูงอายุ ควรพิจารณาดังนี้:
อาหารให้พลังงานพอเหมาะและสารอาหารสูง ควรเลือกอาหารที่เคี้ยวและกลืนได้ง่าย ย่อยง่าย และรสชาติไม่จัดมาก เพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร
รับประทานอาหารให้หลากหลาย ควรรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
ดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนม นมเป็นแหล่งโปรตีนและแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ควรเลือกดื่มนมรสจืดเพื่อประโยชน์สูงสุด
3. กิจกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายสำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน
การออกกำลังกายที่เหมาะสมสามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน กิจกรรมที่แนะนำ ได้แก่
การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Strengthening/Resistance Exercise) เช่น การยกน้ำหนักหรือการใช้ยางยืดออกกำลังกาย ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก (Weight-Bearing Exercise) เช่น การเดินหรือวิ่ง ช่วยกระตุ้นการสร้างมวลกระดูกและเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก
การออกกำลังกายแบบโยคะ (Yoga) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความสมดุลของร่างกาย ลดความเสี่ยงการหกล้มและเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ โรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
โรคกระดูกพรุนป้องกันได้อย่างไร?
การป้องกันโรคกระดูกพรุนสามารถทำได้โดยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการตรวจสุขภาพกระดูกเป็นประจำ
ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน?
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคกระดูกพรุน ได้แก่ ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน ผู้ที่ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อกระดูก และผู้ที่มีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ดี เช่น สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์มาก
อาหารอะไรช่วยเสริมสร้างกระดูก?
อาหารที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว เช่น คะน้าและบร็อกโคลี่ ถั่วและเมล็ดธัญพืช เช่น อัลมอนด์และงาดำ รวมถึงปลาเล็กปลาน้อยที่รับประทานได้ทั้งกระดูก
โรคกระดูกพรุนมีทางรักษาหายขาดหรือไม่?
โรคกระดูกพรุนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
โรคกระดูกพรุนแตกต่างจากโรคข้อเสื่อมหรือไม่?
หลายคนสงสัยว่าโรคกระดูกพรุนและโรคข้อเสื่อมเป็นโรคเดียวกันหรือไม่ ความแตกต่างหลักคือโรคกระดูกพรุนเกิดจากการลดลงของมวลกระดูก ทำให้กระดูกเปราะและหักง่าย ส่วนโรคข้อเสื่อมเกี่ยวข้องกับการสึกหรอของกระดูกอ่อนในข้อ
ควรตรวจมวลกระดูกเมื่ออายุเท่าไร?
ผู้หญิงควรตรวจมวลกระดูก (DEXA Scan) เมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป หรือเร็วกว่านั้นหากมีปัจจัยเสี่ยง ส่วนผู้ชายควรพิจารณาตรวจเมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป
ออกกำลังกายประเภทไหนช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน?
การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ เต้นแอโรบิก และการฝึกเวทเทรนนิ่งช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกได้ดี
ยาที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุนมีผลข้างเคียงหรือไม่?
ยากลุ่ม Biphosphonates ซึ่งเป็นยาหลักในการรักษา อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร หรือในบางกรณีอาจทำให้กระดูกกรามอักเสบ
สามารถรับแคลเซียมจากแหล่งอาหารอะไรได้บ้าง ถ้าไม่ดื่มนม?
หากไม่สามารถดื่มนมได้ สามารถรับแคลเซียมจากผักใบเขียว (เช่น คะน้า บร็อกโคลี) ถั่วต่างๆ เต้าหู้ และปลากรอบที่กินได้ทั้งกระดูก
สอบถามข้อมูลการดูแลผู้สูงอายุโดยตรงกับ Need Nurse Group ช่องทางไหนได้บ้าง?
ติดต่อ นีด เนิร์ส กรุ๊ป ได้หลากหลายช่องทางทั้ง โทร. 081-924-2635 / 082-791-6559 หรือ LINE. @NEEDNURSE เรายินดีให้คำปรึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ